👉 เคยสงสัย ไหม? วิตามินซีกินแบบไหนดี
👉 สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้:
วิตามินซีที่คุณกิน อาจถูกขับออกโดยเปล่าประโยชน์!
วิตามินซีเป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่หลายคนเลือกเสริมเพื่อดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ชะลอวัย หรือเพิ่มความสดใสให้กับผิวพรรณ แต่เมื่อเดินเข้าไปในร้านขายยา หรือเลือกซื้อวิตามินซีออนไลน์ ก็มักจะพบว่ามีตัวเลือกมากมาย ทั้งแบบเม็ด แบบผง แบบเคี้ยว หรือแม้แต่แบบฉีด อีกทั้งยังมีขนาดและส่วนผสมที่แตกต่างกัน จนอาจทำให้สับสนว่าควรเลือกแบบไหน และกินอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจหลักการเลือกซื้อและบริโภควิตามินซีอย่างถูกต้อง
โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วนหลัก:
หากคุณต้องการได้รับประโยชน์จากวิตามินซีอย่างเต็มที่
ลองอ่านเนื้อหาในบทความนี้แล้วเลือกวิธีที่เหมาะกับคุณที่สุดกันเลยค่ะ!
สรุปการเลือกซื้อ และการบริโภค เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จากข้อมูลสำคัญข้างกล่อง สิ่งที่เราต้องพิจารณา มีดังนี้
# ส่วนประกอบใน 1 เม็ด:
1.ส่วนประกอบสำคัญ:
♦ เลือกผลิตภัณฑ์ ที่ระบุ “L-Ascorbic Acid” เป็นส่วนประกอบสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายจะได้รับประโยชน์เต็มที่
♦ กรณีมีปัญหาทางเดินอาหาร อาจเลือกส่วนประกอบที่เป็นเกลือของวิตามินซีแทน เช่น โซเดียม แอสคอร์เบต (Sodium Ascorbate) หรือ แคลเซียม แอสคอร์เบต (Calcium Ascorbate) แทน
2.ส่วนประกอบเสริม (ไม่มีก็ได้): เช่น ไบโอฟลาโวนอยด์ (ผสมในอัตรา 4:1) กลูตาไธโอน ซิงค์ ฯ
# ปริมาณวิตามินซี ที่ควรซื้อให้เหมาะสม:
ขนาดที่แนะนำต่อวัน
1.กรณีคนปกติ สุขภาพดี กินเผื่อได้รับจากอาหารไม่พอ: ร่างกายควรได้รับวิตามินซี วันละ 75-100 มก.
♦ ขนาด 30มก.ต่อเม็ด ควรกิน 3เม็ดต่อวัน (รวม1วัน ได้รับวิตามินซี 90มก.) เพื่อให้ได้ปริมาณตามที่ร่างกายต้องการนำไปใช้
♦ การกินวิตามินซี ในปริมาณต่ำ ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เกือบหมด ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
2.กรณีเจ็บป่วย บาดเจ็บ ใช้เสริมภูมิคุ้มกัน: ร่างกายควรได้รับวิตามินซี วันละ 1,000 มก.
♦ เพื่อประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ ขนาดที่แนะนำ คือ 250มก. จำนวน 4 เม็ด ต่อวัน แต่ละเม็ด กินห่างกันอย่างน้อย 4-6ชม.
♦ กรณีไม่สะดวกกินวันละ 4ครั้ง ตัวเลือกรองลงมา คือ ขนาด 500มก. จำนวน 3 เม็ด ต่อวัน แต่ละเม็ด กินห่างกันอย่างน้อย 4-6ชม.
# แหล่งที่มาของส่วนประกอบสำคัญ:
1.สังเคราะห์ มีข้อดีที่โดดเด่นกว่า คือระบุส่วนประกอบสำคัญ เป็น L-Ascorbic Acid และบอกปริมาณต่อเม็ดชัดเจน ช่วยให้มั่นใจว่า ได้รับวิตามินตามที่ต้องการ
2.สกัดจากธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะไม่ระบุว่ามีวิตามินซีปริมาณเท่าไหร่ ใน1เม็ด (เนื่องจากมีสารอื่นรวมอยู่ด้วย) ทำให้เราควบคุมปริมาณที่ร่างกายได้รับยาก, แต่ถ้ามีระบุปริมาณวิตามินซีไว้ชัดเจน การรับวิตามินซีจากธรรมชาติ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่า
คำแนะนำในการบริโภค:
1.เพื่อลดการขับส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้ และรักษาระดับวิตามินซีในเลือดให้คงที่
1)กรณีเจ็บป่วย บาดเจ็บ ต้องการเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ หรือต้องการวิตามินซีสูง
♦ เลือกขนาด 250มก.
♦ กิน 4ครั้ง ห่างกัน 6ชม. (เช่น 6-12-18-24)
2)กรณีต้องการเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด ต้องการความคุ้มค่า และสะดวก
♦ เลือกขนาด 500มก.
♦ กิน 3ครั้ง ห่างกัน 8ชม. (เช่น 6-14-22)
3)กรณีทั่วไป แค่เพียงต้องการเสริม จากอาหารปกติ
♦ เลือกขนาด 60 มก.
♦ กิน 2 ครั้ง หรือตามความเหมาะสม กับอาหารที่กินในแต่ละวัน
2.เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
♦ การกินวิตามินซีในปริมาณสูง ควรกินหลังอาหาร หรือดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ช่วยเพิ่มการขับวิตามินซีที่เหลือออกจากร่างกาย และลดการเกิดนิ่ว เนื่องจากวิตามินซี ละลายได้ในน้ำ สามารถตกตะกอนในไต หากขับออกไม่หมด
♦ กรณีมีปัญหาระบบทางเดินอาหาร อาจเลือก วิตามินซีในรูปแบบเกลือ ดูจาก ที่มีส่วนประกอบหลัก เป็น Sodium Ascorbate หรือ Calcium Ascorbate เพื่อช่วยลดความระคายเคือง แต่ต้องระวังในผู้ที่ต้องจำกัด โซเดียม หรือแคลเซียม
♦ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต ความดันสูง ผู้มีภาวะเหล็กเกิน หรือผู้ที่ต้องกินยาเป็นประจำ ให้ปรึกษาแพทย์ก่อน ไม่แนะนำให้ซื้อวิตามินซีกินด้วยตนเอง
-วิตามินซี หรือ แอสคอร์บิกแอซิด (Ascorbic Acid) เป็นหนึ่งในวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคติดเชื้อ ลดความเสียหายจากสารพิษ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
-มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันริ้วรอยและเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง
-ในธรรมชาติพบมากในผลไม้ตระกูลส้ม, กีวี, สตรอว์เบอร์รี และผักใบเขียว เช่น บร็อคโคลี และกะหล่ำปลี
♦ Ascorbic Acid มี 3 ไอโซเมอร์หลัก ได้แก่:
1.L-Ascorbic Acid – เป็นไอโซเมอร์ที่ร่างกายนำไปใช้ได้
2.D-Ascorbic Acid – ใช้ในอุตสาหกรรม ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
3.Racemic Mixtures – เป็นการผสมของ L- และ D-Ascorbic Acid ใช้ในบางอุตสาหกรรมที่เน้นลดต้นทุน
♦ ด้านการแพทย์และสุขภาพจะใช้ L-Ascorbic Acid เท่านั้น
มีการพัฒนาอนุพันธ์เพื่อเพิ่มความเสถียร และลดการระคายเคืองต่อร่างกาย เช่น:
♦ Sodium Ascorbate – มีความเป็นกลาง (pH Neutral) ละลายน้ำได้ดี
♦ Calcium Ascorbate – เสถียรกว่า L-Ascorbic Acid
♦ Ascorbyl Palmitate – ละลายในไขมัน ใช้ในเครื่องสำอาง
♦ การละลาย: ละลายน้ำได้ดี, ละลายได้ยากในแอลกอฮอล์ และ ไม่ละลายในตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น คลอโรฟอร์ม และเบนซีน
♦ ค่าความเป็นกรด (pKa): มีค่า 4.2 และ 11.6 ซึ่งมีผลต่อการดูดซึม
♦ ความเสถียร: เสื่อมสภาพได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับแสง ความร้อน ออกซิเจน ความชื้น สารอัลคาไล หรือโลหะหนัก เช่น ทองแดงและเหล็ก
♦ การเสื่อมสภาพ: เมื่อออกซิไดซ์จะเปลี่ยนเป็น Dehydroascorbic Acid (DHA) ซึ่งยังใช้งานได้ แต่หากเกิดออกซิเดชันต่อเนื่องจะเสื่อมสภาพเป็น 2,3-Diketogulonic Acid ซึ่งร่างกายไม่สามารถใช้ได้อีก
-ร่างกายดูดซึมวิตามินซี ที่ลำไส้เล็กส่วนปลาย ผ่าน Sodium Vitamin C Transporters (SVCT1 และ SVCT2)
-ดูดซึมสูงสุดที่ปริมาณต่ำ (< 200 มก.) และจะดูดซึมลดลงเมื่อปริมาณที่บริโภคเพิ่มขึ้น เช่น การบริโภค 1,000 มก. จะดูดซึมได้เพียง 50%
-ถูกเปลี่ยนเป็น Dehydroascorbic Acid ซึ่งสามารถกลับคืนสู่ L-Ascorbic Acid ได้ในเซลล์
-ในระยะยาวอาจถูกเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถใช้งานได้
เช่น Oxalic Acid หรือ Threonic Acid ซึ่งจะถูกขับออกจากร่างกาย
-พบมากที่สุดใน ต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง และ เรตินาของดวงตา
-ความเข้มข้นในเนื้อเยื่อ สูงกว่าความเข้มข้นในเลือด
1.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Synthesis):
-เป็นโคแฟกเตอร์ในกระบวนการ Hydroxylation ในการสร้างคอลลาเจนที่แข็งแรง
2.ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant):
-ป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ เช่น Reactive Oxygen Species (ROS) และ ป้องกันความเสียหายของเซลล์จากปฏิกิริยาออกซิเดชัน
-ป้องกันการเสื่อมของวิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นในร่างกาย
3.ดูดซึมธาตุเหล็ก (Iron Absorption):
-เปลี่ยนเหล็กในรูปแบบเฟอริก (Ferric; Fe³⁺) ให้เป็นเหล็กในรูปแบบเฟอรัส (Ferrous; Fe²⁺) ซึ่ง ดูดซึมในลำไส้เล็กได้ง่ายกว่า
4.เสริมภูมิคุ้มกัน (Immune System Support):
-กระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว เช่น นิวโทรฟิล (Neutrophils) และ ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes) ช่วยเพิ่มการกำจัดเชื้อโรค
5.การสังเคราะห์สารอื่น ๆ:
-มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์คาร์นิทีน (Carnitine) ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตพลังงานในเซลล์
-สนับสนุนการสังเคราะห์ฮอร์โมน เช่น เอพิเนฟรีน
6.ป้องกันการอักเสบ และส่งเสริมการหายของแผล:
-ลดการผลิตสารอักเสบ เช่น Tumor Necrosis Factor-alpha (TNF-α)
-สนับสนุนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และลดการเกิดพังผืด
-ไม่ควรเกิน 2,000 มก./วัน สำหรับผู้ใหญ่
-เด็กมีช่วงระหว่าง 400-1,800 มก./วัน ขึ้นกับอายุ
-ทางเดินอาหาร: ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดท้อง
-นิ่วในไต: เพิ่มความเสี่ยงหากบริโภคเกิน 2,000 มก./วัน
-เหล็กเกิน: อาจเกิดภาวะ Iron Overload ในผู้ที่มีภาวะทางพันธุกรรม
1.จากธรรมชาติ: ผลไม้ ผัก
2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร: เม็ด แคปซูล ผง
3.ทางการแพทย์: เป็นสารละลาย ใช้ฉีดสำหรับผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินซีรุนแรง
1.ผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมมีมลภาวะ: ผู้สูบบุหรี่หรือผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษสูง อาจต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้น
2.ผู้ที่เป็นหวัด: 250-1,000 มก./วัน อาจช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการหวัดได้
3.ผู้ที่มีภาวะเจ็บป่วย หรือบาดเจ็บ: ผู้ป่วยที่มีการอักเสบหรือบาดแผล เช่น หลังผ่าตัด ร่างกายอาจต้องการวิตามินซีเพิ่มเพื่อช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อ อาจต้องเสริม 500-1,000 มก./วัน (ตามคำแนะนำแพทย์)
1.เข้าสู่ทางเดินอาหาร: 0-5 นาทีหลังการบริโภค วิตามินซีจะถูกย่อยสลาย และละลายเข้าสู่ของเหลวในกระเพาะอาหาร
2.ดูดซึมในลำไส้เล็ก: ภายใน 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมง
3.เข้าสู่กระแสเลือด: ระดับสูงสุดในพลาสมาภายใน 2-3 ชั่วโมง
4.กระจายไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ: ภายใน 3-6 ชั่วโมง
5.ใช้ในกระบวนการชีวภาพ: 6-24 ชั่วโมง
6.ขับออกทางปัสสาวะ: ส่วนเกินถูกขับออกใน 24-48 ชั่วโมง
*การบริโภคในปริมาณสูงเกินไป (>2,000 มิลลิกรัม/วัน) จะเพิ่มความเข้มข้นของวิตามินซีในปัสสาวะ แต่ไม่เพิ่มประสิทธิภาพในร่างกาย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาและประสิทธิภาพ
1.ปริมาณที่บริโภค:
-ปริมาณสูงเกินไป จะทำให้ระดับวิตามินซีในเลือดอิ่มตัวเร็วขึ้น และถูกขับออกไวขึ้น
2.สถานะสุขภาพ:
-ในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดวิตามินซี การดูดซึมและการกระจายตัว จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า
3.รูปแบบวิตามินซี:
-วิตามินซีในรูปแบบที่ละลายง่าย (เช่น ผงหรือของเหลว) อาจถูกดูดซึมเร็วกว่าแบบเม็ด
4.การบริโภคร่วมกับอาหาร:
-การบริโภคพร้อมอาหารที่มีธาตุเหล็กหรือโปรตีน ช่วยเพิ่มการดูดซึม
*เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด ควรแบ่งปริมาณการบริโภคตลอดวัน ตัวอย่างเช่น หากต้องการรับวิตามินซี 1,000 มก. ควรรับประทาน 250 มก. 4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างแต่ละครั้งประมาณ 3-6 ชั่วโมง เพื่อช่วยรักษาระดับวิตามินซีในเลือดให้คงที่
-สารประกอบจากพืชที่มักพบร่วมกับวิตามินซีในผลไม้ เช่น ส้ม และมะนาว
-มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มความคงตัวของวิตามินซี และอาจช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้ดีขึ้น
-ตัวอย่างไบโอฟลาโวนอยด์ที่นิยมใส่ในวิตามินซี ได้แก่:
-เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ไขมันฟอสโฟลิปิด (Phospholipid) ห่อหุ้มวิตามินซี
-ช่วยเพิ่มการดูดซึม เพราะไขมันช่วยให้วิตามินซีผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ง่ายขึ้น
-ลดการระคายเคืองของกระเพาะอาหารเมื่อเทียบกับ L-Ascorbic Acid
-บางผลิตภัณฑ์เติม พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) เพื่อช่วยดูดซึมวิตามินซีในลำไส้
-แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) อาจถูกเติมเข้าไปเพื่อช่วยให้การดูดซึมวิตามินซีในร่างกายดีขึ้น
-เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานร่วมกับวิตามินซี
-นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มุ่งเน้น การบำรุงผิวและดีท็อกซ์ตับ
-วิตามินซีช่วย รีไซเคิลกลูตาไธโอนในร่างกาย ทำให้ระดับกลูตาไธโอนสูงขึ้น
-วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการ กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน
-ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดจึงผสม คอลลาเจนไฮโดรไลซ์ (Hydrolyzed Collagen) หรือ คอลลาเจนไตรเปปไทด์ เข้าไปเพื่อเสริมการบำรุงผิวและข้อต่อ
-วิตามินซี + ซิงค์ เป็นสูตรยอดนิยมที่ช่วย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
-ซิงค์มีบทบาทสำคัญในการ ช่วยการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และลดการติดเชื้อไวรัส
-วิตามินซีและวิตามินอีทำงานร่วมกันในการ ปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ
-ช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิว และลดการเกิดริ้วรอย
-เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถทำงานทั้งในน้ำและไขมัน
-ช่วยเพิ่มระดับ กลูตาไธโอน และรีไซเคิลวิตามินซีในร่างกาย
-มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
-มีบางผลิตภัณฑ์ที่เพิ่ม โปรไบโอติกส์ เพื่อช่วยเสริมสุขภาพลำไส้
-ลำไส้ที่แข็งแรงช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร รวมถึงวิตามินซี
ไม่ว่าคุณจะเป็นฟรีแลนซ์ที่มองหาช่องทางสร้างรายได้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ต้องการโปรโมทแบรนด์ หรือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดขายด้วยคอนเทนต์คุณภาพ XRPro พร้อมเป็นพันธมิตรในการสร้างความสำเร็จ! ร่วมสร้างโอกาสใหม่และเติบโตไปด้วยกันได้ทันที.
Copyright 2024 © Powered By Qii, All Rights Reserved.
Leave Your Comment