วิตามินซี กินยังไง ได้ประโยชน์สูงสุด

วิตามินซี, vitamin c, วิตามินซีกินยังไง
Reading Time: 7 minutes

วิตามินซี กินผิดวิธี = เสียประโยชน์

อ่านก่อนซื้อ !

👉 เคยสงสัย ไหม? วิตามินซีกินแบบไหนดี

  • วิตามินซีมีหลายราคา! ซื้อแบบไหนดี แบบแพงน่าจะดีกว่า แบบถูก หรือเปล่า?
  • ขนาด 1,000 มก. หรือ 500 มก. หรือเท่าไหร่ดีกว่ากัน?
    กินเยอะแล้วร่างกายใช้ได้จริงหรือเปล่า?
  • แบบเม็ด, ผง, หรือแบบไหน ดีที่สุด?

👉 สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้:

วิตามินซีที่คุณกิน อาจถูกขับออกโดยเปล่าประโยชน์!

  1. ศักยภาพของร่างกายมีขีดจำกัดในการดูดซึมวิตามินซีเข้ากระแสเลือด (ขนาด200มก. ดูดซึม 100%, ขนาด500มก. ดูดซึม 70%, ขนาด 1,000มก. ดูดซึม 50%)
  2. ระดับวิตามินซี ในเลือดจะเข้าสู่จุดสูงสุดใน 3ชม. และการกระจายตัวไปตามอวัยวะสำคัญ 3-6ชม.หลังกิน, ส่วนเหลือจะขับทิ้ง เนื่องจากปริมาณในพลาสมามีจุดอิ่มตัว
  3. การนำไปใช้งาน เช่น สร้างคอลลาเจน, ต้านอนุมูลอิสระ, เสริมภูมิคุ้มกัน จะอยู่ระหว่าง 6-24ชม. หลังกิน
  4. วิตามินซี ส่วนเกิน จะถูกขับออกตั้งแต่ 24-48ชม.

วิตามินซี เลือกแบบไหน ได้ประโยชน์สูงสุด

วิตามินซีเป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่หลายคนเลือกเสริมเพื่อดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ชะลอวัย หรือเพิ่มความสดใสให้กับผิวพรรณ แต่เมื่อเดินเข้าไปในร้านขายยา หรือเลือกซื้อวิตามินซีออนไลน์ ก็มักจะพบว่ามีตัวเลือกมากมาย ทั้งแบบเม็ด แบบผง แบบเคี้ยว หรือแม้แต่แบบฉีด อีกทั้งยังมีขนาดและส่วนผสมที่แตกต่างกัน จนอาจทำให้สับสนว่าควรเลือกแบบไหน และกินอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจหลักการเลือกซื้อและบริโภควิตามินซีอย่างถูกต้อง

โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วนหลัก:

  1. แนวทางการเลือกซื้อและบริโภค ข้อมูลสรุป
  2. ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิตามินซี และบทบาทในร่างกาย
  3. แหล่งอ้างอิง อ้างอิงจากแหล่งวิชาการ และงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ

หากคุณต้องการได้รับประโยชน์จากวิตามินซีอย่างเต็มที่

ลองอ่านเนื้อหาในบทความนี้แล้วเลือกวิธีที่เหมาะกับคุณที่สุดกันเลยค่ะ!

#1 แนวทางการเลือกซื้อ

สรุปการเลือกซื้อ และการบริโภค เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

จากข้อมูลสำคัญข้างกล่อง สิ่งที่เราต้องพิจารณา มีดังนี้

# ส่วนประกอบใน 1 เม็ด:

1.ส่วนประกอบสำคัญ:

เลือกผลิตภัณฑ์ ที่ระบุ “L-Ascorbic Acid” เป็นส่วนประกอบสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายจะได้รับประโยชน์เต็มที่

♦ กรณีมีปัญหาทางเดินอาหาร อาจเลือกส่วนประกอบที่เป็นเกลือของวิตามินซีแทน เช่น โซเดียม แอสคอร์เบต (Sodium Ascorbate) หรือ แคลเซียม แอสคอร์เบต (Calcium Ascorbate) แทน

2.ส่วนประกอบเสริม (ไม่มีก็ได้): เช่น ไบโอฟลาโวนอยด์ (ผสมในอัตรา 4:1) กลูตาไธโอน ซิงค์ ฯ

# ปริมาณวิตามินซี ที่ควรซื้อให้เหมาะสม:

ขนาดที่แนะนำต่อวัน

1.กรณีคนปกติ สุขภาพดี กินเผื่อได้รับจากอาหารไม่พอ: ร่างกายควรได้รับวิตามินซี วันละ 75-100 มก.

ขนาด 30มก.ต่อเม็ด ควรกิน 3เม็ดต่อวัน (รวม1วัน ได้รับวิตามินซี 90มก.) เพื่อให้ได้ปริมาณตามที่ร่างกายต้องการนำไปใช้

การกินวิตามินซี ในปริมาณต่ำ ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เกือบหมด ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด

2.กรณีเจ็บป่วย บาดเจ็บ ใช้เสริมภูมิคุ้มกัน: ร่างกายควรได้รับวิตามินซี วันละ 1,000 มก.

เพื่อประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ ขนาดที่แนะนำ คือ 250มก. จำนวน 4 เม็ด ต่อวัน แต่ละเม็ด กินห่างกันอย่างน้อย 4-6ชม.

♦ กรณีไม่สะดวกกินวันละ 4ครั้ง ตัวเลือกรองลงมา คือ ขนาด 500มก. จำนวน 3 เม็ด ต่อวัน แต่ละเม็ด กินห่างกันอย่างน้อย 4-6ชม.

# แหล่งที่มาของส่วนประกอบสำคัญ:

1.สังเคราะห์ มีข้อดีที่โดดเด่นกว่า คือระบุส่วนประกอบสำคัญ เป็น L-Ascorbic Acid และบอกปริมาณต่อเม็ดชัดเจน ช่วยให้มั่นใจว่า ได้รับวิตามินตามที่ต้องการ

2.สกัดจากธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะไม่ระบุว่ามีวิตามินซีปริมาณเท่าไหร่ ใน1เม็ด (เนื่องจากมีสารอื่นรวมอยู่ด้วย) ทำให้เราควบคุมปริมาณที่ร่างกายได้รับยาก, แต่ถ้ามีระบุปริมาณวิตามินซีไว้ชัดเจน การรับวิตามินซีจากธรรมชาติ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่า

คำแนะนำในการบริโภค:

1.เพื่อลดการขับส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้ และรักษาระดับวิตามินซีในเลือดให้คงที่

1)กรณีเจ็บป่วย บาดเจ็บ ต้องการเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ หรือต้องการวิตามินซีสูง

♦ เลือกขนาด 250มก.

♦ กิน 4ครั้ง ห่างกัน 6ชม. (เช่น 6-12-18-24)

2)กรณีต้องการเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด ต้องการความคุ้มค่า และสะดวก

♦ เลือกขนาด 500มก.

♦ กิน 3ครั้ง ห่างกัน 8ชม. (เช่น 6-14-22)

3)กรณีทั่วไป แค่เพียงต้องการเสริม จากอาหารปกติ

♦ เลือกขนาด 60 มก.

♦ กิน 2 ครั้ง หรือตามความเหมาะสม กับอาหารที่กินในแต่ละวัน

2.เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร

การกินวิตามินซีในปริมาณสูง ควรกินหลังอาหาร หรือดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ช่วยเพิ่มการขับวิตามินซีที่เหลือออกจากร่างกาย และลดการเกิดนิ่ว เนื่องจากวิตามินซี ละลายได้ในน้ำ สามารถตกตะกอนในไต หากขับออกไม่หมด

กรณีมีปัญหาระบบทางเดินอาหาร อาจเลือก วิตามินซีในรูปแบบเกลือ ดูจาก ที่มีส่วนประกอบหลัก เป็น Sodium Ascorbate หรือ Calcium Ascorbate เพื่อช่วยลดความระคายเคือง แต่ต้องระวังในผู้ที่ต้องจำกัด โซเดียม หรือแคลเซียม

ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต ความดันสูง ผู้มีภาวะเหล็กเกิน หรือผู้ที่ต้องกินยาเป็นประจำ ให้ปรึกษาแพทย์ก่อน ไม่แนะนำให้ซื้อวิตามินซีกินด้วยตนเอง

1. ความสำคัญ

-วิตามินซี หรือ แอสคอร์บิกแอซิด (Ascorbic Acid) เป็นหนึ่งในวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคติดเชื้อ ลดความเสียหายจากสารพิษ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

-มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันริ้วรอยและเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง

-ในธรรมชาติพบมากในผลไม้ตระกูลส้ม, กีวี, สตรอว์เบอร์รี และผักใบเขียว เช่น บร็อคโคลี และกะหล่ำปลี

2.1 ไอโซเมอร์ของวิตามินซี

Ascorbic Acid มี 3 ไอโซเมอร์หลัก ได้แก่:

1.L-Ascorbic Acid – เป็นไอโซเมอร์ที่ร่างกายนำไปใช้ได้

2.D-Ascorbic Acid – ใช้ในอุตสาหกรรม ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

3.Racemic Mixtures – เป็นการผสมของ L- และ D-Ascorbic Acid ใช้ในบางอุตสาหกรรมที่เน้นลดต้นทุน

ด้านการแพทย์และสุขภาพจะใช้ L-Ascorbic Acid เท่านั้น

2.2 อนุพันธ์ของวิตามินซี

มีการพัฒนาอนุพันธ์เพื่อเพิ่มความเสถียร และลดการระคายเคืองต่อร่างกาย เช่น:

Sodium Ascorbate – มีความเป็นกลาง (pH Neutral) ละลายน้ำได้ดี

Calcium Ascorbate – เสถียรกว่า L-Ascorbic Acid

Ascorbyl Palmitate – ละลายในไขมัน ใช้ในเครื่องสำอาง

การละลาย: ละลายน้ำได้ดี, ละลายได้ยากในแอลกอฮอล์ และ ไม่ละลายในตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น คลอโรฟอร์ม และเบนซีน

ค่าความเป็นกรด (pKa): มีค่า 4.2 และ 11.6 ซึ่งมีผลต่อการดูดซึม

ความเสถียร: เสื่อมสภาพได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับแสง ความร้อน ออกซิเจน ความชื้น สารอัลคาไล หรือโลหะหนัก เช่น ทองแดงและเหล็ก

การเสื่อมสภาพ: เมื่อออกซิไดซ์จะเปลี่ยนเป็น Dehydroascorbic Acid (DHA) ซึ่งยังใช้งานได้ แต่หากเกิดออกซิเดชันต่อเนื่องจะเสื่อมสภาพเป็น 2,3-Diketogulonic Acid ซึ่งร่างกายไม่สามารถใช้ได้อีก

4.1 การดูดซึม

-ร่างกายดูดซึมวิตามินซี ที่ลำไส้เล็กส่วนปลาย ผ่าน Sodium Vitamin C Transporters (SVCT1 และ SVCT2)

-ดูดซึมสูงสุดที่ปริมาณต่ำ (< 200 มก.) และจะดูดซึมลดลงเมื่อปริมาณที่บริโภคเพิ่มขึ้น เช่น การบริโภค 1,000 มก. จะดูดซึมได้เพียง 50%

4.2 การเผาผลาญ

-ถูกเปลี่ยนเป็น Dehydroascorbic Acid ซึ่งสามารถกลับคืนสู่ L-Ascorbic Acid ได้ในเซลล์

-ในระยะยาวอาจถูกเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถใช้งานได้
เช่น Oxalic Acid หรือ Threonic Acid ซึ่งจะถูกขับออกจากร่างกาย

4.3 การกระจายตัวในร่างกาย

-พบมากที่สุดใน ต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง และ เรตินาของดวงตา

-ความเข้มข้นในเนื้อเยื่อ สูงกว่าความเข้มข้นในเลือด

1.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Synthesis):

-เป็นโคแฟกเตอร์ในกระบวนการ Hydroxylation ในการสร้างคอลลาเจนที่แข็งแรง

2.ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant):

-ป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ เช่น Reactive Oxygen Species (ROS) และ ป้องกันความเสียหายของเซลล์จากปฏิกิริยาออกซิเดชัน

-ป้องกันการเสื่อมของวิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นในร่างกาย

3.ดูดซึมธาตุเหล็ก (Iron Absorption):

-เปลี่ยนเหล็กในรูปแบบเฟอริก (Ferric; Fe³) ให้เป็นเหล็กในรูปแบบเฟอรัส (Ferrous; Fe²) ซึ่ง ดูดซึมในลำไส้เล็กได้ง่ายกว่า

4.เสริมภูมิคุ้มกัน (Immune System Support):

-กระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว เช่น นิวโทรฟิล (Neutrophils) และ ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes) ช่วยเพิ่มการกำจัดเชื้อโรค

5.การสังเคราะห์สารอื่น ๆ:

-มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์คาร์นิทีน (Carnitine) ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตพลังงานในเซลล์

-สนับสนุนการสังเคราะห์ฮอร์โมน เช่น เอพิเนฟรีน

6.ป้องกันการอักเสบ และส่งเสริมการหายของแผล:

-ลดการผลิตสารอักเสบ เช่น Tumor Necrosis Factor-alpha (TNF-α)

-สนับสนุนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และลดการเกิดพังผืด

6.1 ปริมาณที่ควรได้รับ (RDA)

  • ผู้ใหญ่:
    • ผู้ชาย 90 มก./วัน
    • ผู้หญิง 75 มก./วัน
    • สตรีมีครรภ์ 85 มก./วัน
    • สตรีให้นมบุตร 120 มก./วัน
  • เด็ก:
    • ทารก 40-50 มก./วัน
    • เด็ก 1-3 ปี: 15 มก./วัน
    • เด็ก 9-13 ปี: 45 มก./วัน
  • ผู้สูบบุหรี่ ต้องการเพิ่มขึ้นอีก 35 มก./วัน

6.2 ปริมาณสูงสุดที่รับได้ (UL)

-ไม่ควรเกิน 2,000 มก./วัน สำหรับผู้ใหญ่

-เด็กมีช่วงระหว่าง 400-1,800 มก./วัน ขึ้นกับอายุ

-ทางเดินอาหาร: ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดท้อง

-นิ่วในไต: เพิ่มความเสี่ยงหากบริโภคเกิน 2,000 มก./วัน

-เหล็กเกิน: อาจเกิดภาวะ Iron Overload ในผู้ที่มีภาวะทางพันธุกรรม

1.จากธรรมชาติ: ผลไม้ ผัก

2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร: เม็ด แคปซูล ผง

3.ทางการแพทย์: เป็นสารละลาย ใช้ฉีดสำหรับผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินซีรุนแรง

1.ผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมมีมลภาวะผู้สูบบุหรี่หรือผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษสูง อาจต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้น

2.ผู้ที่เป็นหวัด250-1,000 มก./วัน อาจช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการหวัดได้

3.ผู้ที่มีภาวะเจ็บป่วย หรือบาดเจ็บผู้ป่วยที่มีการอักเสบหรือบาดแผล เช่น หลังผ่าตัด ร่างกายอาจต้องการวิตามินซีเพิ่มเพื่อช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อ อาจต้องเสริม 500-1,000 มก./วัน (ตามคำแนะนำแพทย์)

1.เข้าสู่ทางเดินอาหาร: 0-5 นาทีหลังการบริโภค วิตามินซีจะถูกย่อยสลาย และละลายเข้าสู่ของเหลวในกระเพาะอาหาร

2.ดูดซึมในลำไส้เล็ก: ภายใน 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมง

3.เข้าสู่กระแสเลือด: ระดับสูงสุดในพลาสมาภายใน 2-3 ชั่วโมง

4.กระจายไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ: ภายใน 3-6 ชั่วโมง

5.ใช้ในกระบวนการชีวภาพ: 6-24 ชั่วโมง

6.ขับออกทางปัสสาวะ: ส่วนเกินถูกขับออกใน 24-48 ชั่วโมง

*การบริโภคในปริมาณสูงเกินไป (>2,000 มิลลิกรัม/วัน) จะเพิ่มความเข้มข้นของวิตามินซีในปัสสาวะ แต่ไม่เพิ่มประสิทธิภาพในร่างกาย

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาและประสิทธิภาพ

1.ปริมาณที่บริโภค: 

-ปริมาณสูงเกินไป จะทำให้ระดับวิตามินซีในเลือดอิ่มตัวเร็วขึ้น และถูกขับออกไวขึ้น

2.สถานะสุขภาพ:

-ในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดวิตามินซี การดูดซึมและการกระจายตัว จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า

3.รูปแบบวิตามินซี:

-วิตามินซีในรูปแบบที่ละลายง่าย (เช่น ผงหรือของเหลว) อาจถูกดูดซึมเร็วกว่าแบบเม็ด

4.การบริโภคร่วมกับอาหาร:

-การบริโภคพร้อมอาหารที่มีธาตุเหล็กหรือโปรตีน ช่วยเพิ่มการดูดซึม

*เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด ควรแบ่งปริมาณการบริโภคตลอดวัน ตัวอย่างเช่น หากต้องการรับวิตามินซี 1,000 มก. ควรรับประทาน 250 มก. 4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างแต่ละครั้งประมาณ 3-6 ชั่วโมง เพื่อช่วยรักษาระดับวิตามินซีในเลือดให้คงที่

1. ไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids)

-สารประกอบจากพืชที่มักพบร่วมกับวิตามินซีในผลไม้ เช่น ส้ม และมะนาว

-มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มความคงตัวของวิตามินซี และอาจช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้ดีขึ้น

-ตัวอย่างไบโอฟลาโวนอยด์ที่นิยมใส่ในวิตามินซี ได้แก่:

  • รูติน (Rutin) – เสริมความแข็งแรงของหลอดเลือด
  • เฮสเพอริดิน (Hesperidin) – ลดการอักเสบและช่วยเรื่องหลอดเลือดดำ
  • เควอซิทิน (Quercetin) – ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

-เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ไขมันฟอสโฟลิปิด (Phospholipid) ห่อหุ้มวิตามินซี

-ช่วยเพิ่มการดูดซึม เพราะไขมันช่วยให้วิตามินซีผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ง่ายขึ้น

-ลดการระคายเคืองของกระเพาะอาหารเมื่อเทียบกับ L-Ascorbic Acid

-บางผลิตภัณฑ์เติม พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) เพื่อช่วยดูดซึมวิตามินซีในลำไส้

-แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) อาจถูกเติมเข้าไปเพื่อช่วยให้การดูดซึมวิตามินซีในร่างกายดีขึ้น

-เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานร่วมกับวิตามินซี

-นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มุ่งเน้น การบำรุงผิวและดีท็อกซ์ตับ

-วิตามินซีช่วย รีไซเคิลกลูตาไธโอนในร่างกาย ทำให้ระดับกลูตาไธโอนสูงขึ้น

-วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการ กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน

-ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดจึงผสม คอลลาเจนไฮโดรไลซ์ (Hydrolyzed Collagen) หรือ คอลลาเจนไตรเปปไทด์ เข้าไปเพื่อเสริมการบำรุงผิวและข้อต่อ

-วิตามินซี + ซิงค์ เป็นสูตรยอดนิยมที่ช่วย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

-ซิงค์มีบทบาทสำคัญในการ ช่วยการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และลดการติดเชื้อไวรัส

-วิตามินซีและวิตามินอีทำงานร่วมกันในการ ปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ

-ช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิว และลดการเกิดริ้วรอย

-เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถทำงานทั้งในน้ำและไขมัน

-ช่วยเพิ่มระดับ กลูตาไธโอน และรีไซเคิลวิตามินซีในร่างกาย

-มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

-มีบางผลิตภัณฑ์ที่เพิ่ม โปรไบโอติกส์ เพื่อช่วยเสริมสุขภาพลำไส้

-ลำไส้ที่แข็งแรงช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร รวมถึงวิตามินซี

  1. Assist Impact, 2025. Vitamin C: Properties and Health Benefits. Assist Impact, [online] Available at: https://www.assist-impact.net/th/articles/130598 [Accessed: 05/01/2025].
  2. Barhum, L., 2024. How Much Vitamin C Do You Need Per Day for Immunity and Wellness?. Verywell Health, [online] Available at: https://www.verywellhealth.com/how-much-vitamin-c-per-day-8742703 [Accessed: 10/01/2025].
  3. IntechOpen, 2018. Vitamin C – Research Overview. IntechOpen, [online] Available at: https://www.intechopen.com/chapters/64659 [Accessed: 05/01/2025].
  4. National Institutes of Health (NIH), 2025. Vitamin C – Fact Sheet for Health Professionals. NIH, [online] Available at: https://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminC-HealthProfessional/ [Accessed: 05/01/2025].
  5. Yussif, N.M., 2018. Vitamin C. IntechOpen, [online] Available at: https://www.intechopen.com/chapters/64659 [Accessed: 05/01/2025].
  6. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2025. วิตามินซีกับการป้องกันหวัด. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, [ออนไลน์] มีให้ที่: https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=17 [เข้าถึงเมื่อ: 12 มกราคม 2025].
  7. สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย, 2023. ปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563. สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย, [ออนไลน์] มีให้ที่: https://www.thaidietetics.org/wp-content/uploads/2020/04/dri2563.pdf [เข้าถึงเมื่อ: 12 มกราคม 2025].
  8. วารสารวงการแพทย์, 2025. ประโยชน์ของวิตามินซีในทางการแพทย์. วารสารวงการแพทย์, [ออนไลน์] มีให้ที่: https://www.wongkarnpat.com/upfilecpe/CPE%20230.pdf [เข้าถึงเมื่อ: 12 มกราคม 2025].
  9. สุภาวดี สืบศาสนา, 2025. สิ่งที่ต้องรู้ก่อนการพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “วิตามินซี”. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, [ออนไลน์] มีให้ที่: https://pharm.tu.ac.th/uploads/pharm/pdf/articles/vitamin_c%2056.pdf [เข้าถึงเมื่อ: 12 มกราคม 2025].
expert Writer .Pro ตลาดขายคอนเทนต์เฉพาะทางการแพทย์ ขายบทความสุขภาพเชิงลึก

Leave Your Comment

en_USEnglish

Ready To Get Started

ไม่ว่าคุณจะเป็นฟรีแลนซ์ที่มองหาช่องทางสร้างรายได้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ต้องการโปรโมทแบรนด์ หรือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดขายด้วยคอนเทนต์คุณภาพ XRPro พร้อมเป็นพันธมิตรในการสร้างความสำเร็จ! ร่วมสร้างโอกาสใหม่และเติบโตไปด้วยกันได้ทันที.